ลิเกฮูลู หรือ ดิเกฮูลู เป็นการละเล่นพื้นบ้านของชาวมลายูมุสลิมภาคใต้ของไทย ขึ้นบทเป็นเพลงประกอบดนตรีและจังหวะตบมือ
มีผู้ให้ที่มาของดิเกฮูลูเอาไว้หลายสำนวน
ในที่นี้จะขอหยิบยกออกมา 2
สำนวน กล่าวคือ หนึ่ง ตามสำนวนที่รับรู้กันโดยทั่วไป
มีผู้รู้บางท่านได้ศึกษาไว้ว่าดิเก (Dikir) มีรากศัพท์มาจากคำว่าซี
เกร์ ซึ่งเป็นภาษาอาหรับ หมายถึงการอ่านทำนองเสนาะ ส่วนคำว่าฮูลู แปลว่าใต้หรือทิศใต้
รวมความแล้วหมายถึงการขับบทกลอนเป็นทำนองเสนาะจากทางใต้1 ท่านผู้รู้ยังได้กล่าวไว้อีกว่า
ดิเกฮูลูน่าจะเกิดขึ้นเริ่มแรกที่อำเภอรามัน ซึ่งไม่ทราบแน่ว่าผู้ริเริ่มนี้คือใคร
ข้อสนับสนุนก็คือชาวปัตตานีเรียกคนในอำเภอรามันว่าคนฮูลู
ในขณะที่คนมาเลเซียเรียกศิลปะนี้ว่า "ดิเกปารัต" ซึ่งปารัต แปลว่าเหนือ
จึงเป็นที่ยืนยันได้ว่า ดิเกฮูลู หรือดิเกปารัตนี้มาจากทางเหนือของมาเลเซียและทางใต้ของปัตตานี2
ซึ่งก็คือบริเวณอำเภอรามัน จังหวัดยะลา
และสำนวนที่สอง
จากการศึกษาของประพนธ์ เรืองณรงค์ ในหนังสือ "บุหงาปัตตานี คติชนไทยมุสลิมชายแดนภาคใต้"3 คำว่าดิเก
หรือลิเก ในพจนานุกรม Kamus Dewan พิมพ์โดยสมาคมภาษาและหนังสือประเทศมาเลเซียเรียกลิเกเป็นดิเกร์เป็นศัพท์เปอร์เซีย
มีสองความหมายคือ เพลงสวดสรรเสริญพระเจ้า
ปกติเป็นการขับร้องเนื่องในเทศกาลวันกำเนิดพระนะบี ชาวมุสลิมเรียกงานเมาลิด เรียกการสวดดังกล่าวนี้ว่า "ดิเกเมาลิด"
นอกจากนี้ดิเกยังหมายถึงกลอนเพลงโต้ตอบ
นิยมเล่ากันเป็นกลุ่มหรือเป็นคณะ
โดยมีไม้ไผ่มาตัดท่อนสั้นแล้วหุ้มกาบไม้ข้างหนึ่งทำให้เกิดเสียงดัง
แล้วร้องรำทำเพลงขับแก้กันตามประสาชาวป่า(ว่ากันว่าไม้ไผ่หุ้มกาบไม้นี้ได้กลายเป็นบานอ หรือรือปานา
หรือรำมะนาที่ใช้กันมาจนทุกวันนี้)
ประพนธ์ เรืองณรงค์
ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า ดิเกน่าจะมาจากความหมายที่สอง คือกลอนเพลงโต้ตอบ
นิยมเล่นกันเป็นหมู่คณะ ซึ่งเป็นการร้องเพลงลำตัดภาษาอาหรับ ที่เรียกว่า
"ซีเกร์มีรฮาแบ" การร้องเป็นภาษาอาหรับ ถึงแม้จะไพเราะแต่คนไม่เข้าใจ
จึงนำเอาเนื้อเพลงภาษาพื้นเมือง ซึ่งก็คือภาษายาวีตีเข้ากับรำมะนา จึงกลายเป็นดิเกฮูลูมาตราบเท่าปัจจุบัน
และการแสดงประเภทนี้น่าจะมีขึ้นครั้งแรก
ณ ท้องที่เหนือลำน้ำอันเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำปัตตานี ซึ่งชาวบ้านเรียกฮูลู
หรือทิศฮูลู (ฝ่ายใต้ลำน้ำเรียกฮิเล) ตรงทิศฮูลูเป็นแหล่งกำเนิดฮูลูนั้น เข้าใจว่าคือท้องที่อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี และอำเภอบันนังสตา อำเภอเบตง จังหวัดยะลา
ดิเกฮูลูคณะหนึ่งๆ
จะมีสมาชิกประมาณ 10
กว่าคน เป็นชายล้วน เป็นผู้ขับร้องต้นเสียง 1-3 คน ที่เหลือจะเป็นลูกคู่ และอาจมีนักร้องภายนอกวงมาสมทบร่วมสนุกอีกก็ได้
บทกลอนที่ใช้ขับร้องนั้น เรียกเป็นภาษามลายูท้องถิ่นว่าปันตน
หรือปาตง เวลาแสดงใช้ขับกลอนโต้ตอบ
ไม่ได้แสดงเป็นเรื่องราวดังเช่นการละเล่นพื้นบ้านอย่างอื่น เช่น มะโย่ง
หรือมโนห์รา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น